วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

โลกในอุดมคติ...


โลกในความคิดของข้าพเจ้า
     เมื่อพูดถึงโลก  สิ่งที่ขาดไม่ได้คือสิ่งมีชีวิต มีสิ่งมีชีวิตมากมายในโลกใบนี้ เเต่สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่มีทั้งความคิด สำนึก เรียนรู้เป็น คือมนุษย์อย่างเรา ๆ เพื่อให้ศึกษาเเละเข้าสิ่งต่างๆ เราจึงเเบ่งเเยกสิ่งต่างๆ เเบ่งเเยกชุนชน สังคม ประเทศ เเยกเเยะสิ่งต่างๆ โดยความเชื่อ ความคิด ความรู้ จนเกิดเป็น วัฒนธรรม  เป็นศาสนามากมาย เพื่อใช้เป็นเเนวทางในการดำเนินชีวิต  คำสอน เเละการปฏิบัติ ที่หลากหลาย มีหนทางมากมายที่รอเราอยู่  ชีวิตที่ดีถูกออกเเบบ เเละตีความต่างๆนาๆ  ว่าเป็นอย่างไร อย่างที่รู้มนุษย์อย่างพวกเราพัฒนาความคิดเรียนรู้ พยายามค้นหาสิ่งที่ทำให้ตนมีความสุข ในทุกวัน
    ฉนั้นผมจึงอยากออกเเบบโลกใบนี้  สิ่งที่สำคัญคือปัจจัยในการดำเนินชีวิต  เริ่มจากอาหาร การมีชีวิตอยู่ด้วยการฆ่าสิ่งมีชีวิตอื่นนั้น บางคนหรือคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันต่างมองเป็นเรื่องธรรมดา หรือจะบอกว่าเราเลี่ยงไม่ได้  นี้ก็เป็นเรื่องของความเชื่อเช่นกัน เเต่ถ้าจะกลับกัน "หากมีมนุษย์ต่างดาวเข้ามาในโลกของเราเเล้วจับมนุษย์อย่างเราไปเป็นอาหาร  เเล้วมนุษย์ต่างดาวก็ถาม(พระ)ของมนุษย์ต่างดาวว่าการฆ่าคนจะเป็นบาปมั้ย  พระต่างดาวจึงกล่าวว่ากินอะไรไม่สำคัญเท่ากับกินอย่างไร" ผมคงไม่หวังขนาดว่าให้เราเลิกกินเนื้อสัตว์  เเต่ผมอยากให้เราคิดสักนิดก่อนว่าเนื้อที่เรากินนั้นมันเดินทางมาอย่างไร ขณะที่มันมีชีวิตอยู่เป็นอย่างไร ถูกเลี้ยงดูอย่างไร หากเราตระหนักเเละคิดก่อนจะเลือกทำอะไรสักอย่าง ก็คงจะเปลี่ยนหลายสิ่งได้
     ไม่เพียงเเต่ว่าเนื้อสัตว์เท่านั้น ผักผลไม้ที่เรากินกันอยู่ทุกวัน มันผ่านกรรมวิธีมายมาก มีการทดลอง วิจัย เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ตรงต่อความต้องการของเรา เเละให้เพียงพอต่อการบริโภค จึงต้องมีการใช้สารเคมีมากมายเพื่อลดเวลาในการทำงาน  ทั้งหมดเป็นเพราะความ อยากสบาย กันทั้งนั้น  สิ่งที่ตามมาคือปัญหาด้านสุขภาพ เพราะเมื่อเราเปลี่ยนเเปลงสิ่งหนึ่ง ก็จะกระทบกับสิ่งต่างๆ อีกมากมายที่เราไม่รู้ อย่างโรค ต่างๆ ที่ไม่มียารักษา  เมื่อผลกระทบเกิดกับสิ่งเเวดล้อม ท้ายที่สุดในไม่ช้าผลก็จะกลับมาสู่มนุษย์  วนไปเรื่อย  จนกว่าเราจะพอ เเละเลิก การเเข่งขัน เเก่งเเย้ง กอบโกย
           ผมฝันอยากให้ประเทศของเรา หากเป็นไปได้ก็อยากให้โลกปกครองเเบบรัฐสวัสดิการ นี้คือการแก้ปัญหาช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย ในระบบทุนนิยม ให้น้อยลงจนเท่าเทียมกัน  เป็นการร่วมมือกันของคนในสังคม  ยอมรับในสิ่งเดียวกันคือประโยชน์ของส่วนรวม  โดยการเก็บภาษีจากคนรวยให้มากขึ้น เช่น คนมีรายได้มากก็เเบ่งให้ส่วนกลาง 70 %  เพื่อนำเงินส่วนนี้มาใช้ในด้านของ ค่าใช้จ่ายการรักษา การศึกษา ในระดับ โรงเรียน เเละมหาลัย เเก่คนจน คนด้อยโอกาส และให้บริการที่กล่าวมาเป็นการบริการฟรี  เมื่อเป็นเช่นนี้  คนในสังคมก็ไม่มีใครที่ครอบครองทรัพย์สมบัติมากเกินไป  ในขณะเดียวกันคนที่มีรายได้กลางๆ ก็ต้องเเบ่งรายได้ 50 % ให้ส่วนกลาง เช่นกัน  การกระทำเช่นนี้จะทำให้คนในสังคมตระหนักถึงการเป็นส่วนหนึ่งของกันเเละกันมากขึ้น  เมื่อคนในสังคมได้รับความเท่าเทียบมีชีวิตที่มันคงขึ้น ไม่ต้องกังวล เรื่องค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียน  ก็จะมีทางเลือกที่มากขึ้น เมื่อคนถือเงินน้อยลง ครอบครองสิ่งต่างๆ น้อยลง ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการดูเเล ไม่ต้องกลัวว่าจะมีขโมย เพราะสิ่งต่างๆ เป็นของคนในสังคม ทุกคนมีส่วนได้ส่วนเสียที่พอกัน  นี้ก็จะเป็นจุดเริ่มที่ทำให้เรารักเพื่อนพี่น้องในสังคม เเละความรักนี้ก็จะถูกเเบ่งปันเเก่สิ่งเเวดล้อม สิ่งมีชีวิตอื่นๆ สังคมก็จะสงบเย็น น่าอยู่  เราจะไม่เห็นขอทานข้างถนน จะไม่มีการเอารัดเอาเปรียบกัน เพราะคนทุกคนได้รับการศึกษา มีความรู้ ความคิด ความเชื่อ ที่มุ่งเพื่อส่วนรวม  การเเข่งขัน กอบโกยลดลง โดยเห็นได้จากรอยยิ้มของคน จากเสียงร้องของเหล่านกน้อย จากธรรมชาติดอกไม้ต้นไม้  เหล่าเเมลงต่างๆ สิ่งมีชีวิตถูกรบกวนน้อยลง  จนกลายเป็นวิธีทางที่มนุษย์จะสามารถอยู่ในโลกนี้ร่วมกับสิ่งมีชีวิต เเละสิ่งเเวดล้อมนี้ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น